วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2562

การคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้


การคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้ (ผู้จัดทำ นางสาวมัสญา อนุญาหงส์)
การคิดวิเคราะห์(Analytical Thinking)
               นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมช. กระทรวงศึกษาธิการ(สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, 2559: 10-13) กล่าวว่าการศึกษาในยุค Thailand4.0 ควรมีการสร้างคนให้มีทักษะในศตวรรษที่ 21
โดยเน้นทักษะในการคิดวิเคราะห์เป็นหลัก เพราะบุคคลที่รู้จักคิดวิเคราะห์จะเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน
การคิดวิเคราะห์เป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้และการดำเนินชีวิตและเป็นพื้นฐานของการคิดทั้งมวล บุคคลที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์จะมีความสามารถในด้านต่าง ๆ เหนือกว่าบุคคลทั่วไป ดังนั้น ในการจัดการ
เรียนรู้เพื่อเอื้อต่อการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ให้กับผู้เรียน ครูผู้สอนต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการคิด
วิเคราะห์ให้ดีเสียก่อน หลังจากนั้นจึงค่อย ๆ สอดแทรกหรือบูรณาการการคิดวิเคราะห์เข้าไปในกระบวนการ
จัดการเรียนรู้ (ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ. 2556: 69) และดิลก ดิลกานนท์ (2525 อ้างถึงในประพันธ์ศิริ สุเสารัจ,
2556: 82-83) ได้เสนอแนวทางการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ให้แก่ผู้เรียนไว้ดังนี้ (1) ครูผู้สอนกำหนดสิ่งต่าง ๆ เช่น
เรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆแล้วให้ผู้เรียนฝึกการวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ ของสิ่งเหล่านี้ตามที่ครูกำหนด (2) ครู
กำหนดจุดมุ่งหมายของการวิเคราะห์ให้ชัดเจนว่าต้องการให้ผู้เรียนวิเคราะห์เพื่ออะไร (3) ฝึกให้ผู้เรียนรู้จักการ
พิจารณาข้อมูลความรู้ ทฤษฎี หลักการ และกฎเกณฑ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ว่าจะใช้หลักใดเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ และ (4) ให้ผู้เรียนได้ฝึกการสรุปและรายงานผลการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและชัดเจน นอกจากนี้ ครูผู้สอนควรตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน การตั้งคำถามที่ดีจะเป็นประโยชน์และช่วยพัฒนาการคิดได้เป็นอย่างดี และครูผู้สอนควรจัดบรรยากาศภายในห้องเรียนที่มีการเปิดรับการเรียนรู้มากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถคิด ตัดสินใจ และเลือกสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง และเมื่อผู้เรียนทำผิดครูก็ไม่ควรลงโทษเด็ก เพราะการเรียนรู้แบบลองถูกลองผิด ก็นับเป็นการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่ช่วยฝึกให้ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์ได้ เพราะการเรียนรู้จากความผิดพลาด จะทำให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์หรือแยกแยะประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ และจะประเมินว่าจะทำเช่นนี้อีกหรือไม่ในคราวต่อ ๆ ไป
ความคิดสร้างสรรค์(Creative Thinking)
               นักวิชาการอธิบายว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถทางสมองระดับสูงที่คิดได้กว้างไกลหลายทิศทาง หลายแง่มุม หรือที่เรียกว่าลักษณะการคิดแบบอเนกนัย (divergent thinking) ประกอบด้วยความคิดย่อย ๆ 4 องค์ประกอบ ได้แก่ ความคิดริเริ่ม ความคิดคล่องแคล่ว ความคิดยืดหยุ่น และความคิดละเอียดลออ ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถในการคิดสิ่งที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนความคิดของคนทั่วไปรวมทั้งสามารถคิดดัดแปลงความคิดเดิมให้เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่มีคุณประโยชน์และได้รับการยอมรับจากสังคม(Socially valued idea) กล่าวคือ เด็กต้องสามารถคิดต่อยอดผลงานที่มีอยู่เดิมให้แปลกใหม่กว่าเดิม สามารถประยุกต์และใช้ประโยชน์ของสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์มีประโยชน์และจำเป็นสำหรับบุคคลในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในบริบทของการศึกษายุค Thailand 4.0 ที่ต้องการให้ผู้เรียนสามารถสร้างสรรค์ผลงานของตนเองได้อย่างไรก็ตาม การจัดการเรียนรู้ในปัจจุบันต่างมุ่งเน้นแต่เนื้อหาวิชา การสอนไม่มีความสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันหรือชีวิตจริง ซึ่งทำให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่ายในการเรียน รู้สึกอึดอัด และทำให้ความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนมีแนวโน้มลดลง ทำให้สมองไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร และส่งผลให้อัจฉริยภาพที่มีอยู่ในตัวผู้เรียนตามธรรมชาติจะถูกทำลายลงด้วย ดังผลการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษา โดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา รายงานว่าผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์อยู่ในระดับปรับปรุง (กิติยา เก้าเอี้ยน, 2558: 14)
               ดังนั้น ในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ให้กับผู้เรียน ครูผู้สอนควรจัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกคิดจินตนาการ ได้ลงมือสร้างสรรค์ผลงานตามที่คิดไว้ เพราะถ้าได้แต่คิด แต่ไม่เคยได้ลงมือกระทำความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ ก็คงจะไม่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน กิจกรรมที่เอื้อต่อการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ เช่น กิจกรรมด้านศิลปะ การประพันธ์ การประดิษฐ์หรือการออกแบบผลงานที่สามารถคิดหาคำตอบได้หลายทางเลือก เป็นต้น ส่วนวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ เช่นการสอนแบบระดมพลังสมอง การสอนคิดแบบหมวก 6 ใบ และการสอนตามแนวคิดของวิลเลียมส์ เป็นต้น
นอกจากนี้ บรรยากาศในการเรียนรู้ของห้องเรียนก็มีส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์เช่นกันโดยครูผู้สอนควรจัดบรรยากาศให้มีความผ่อนคลาย ให้อิสระทางความคิด สนับสนุนความคิดที่แปลกใหม่ มีความเป็นกลาง ไม่อคติหรือชื่นชมเฉพาะผลงานที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น บางครั้งผู้เรียนบางคนอาจยังไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้น ครูผู้สอนควรให้กำลังใจและชี้แนะข้อบกพร่องให้ผู้เรียนทราบ เพื่อจะได้เป็นการจูงใจให้ผู้เรียนมีความพยายามและมุ่งมั่นที่จะทำงานนั้นต่อไป อย่างไรก็ตาม ความคิดสร้างสรรค์ควรได้รับการกระตุ้นด้วยกิจกรรมที่หลากหลายอย่างต่อเนื่อง และกิจกรรมเหล่านี้จะต้องมีความเหมาะสมตามความสามารถและวัยของผู้เรียน (ลักขณา สริวัฒน์, 2558: 161; ธูปทอง กว้างสวาสดิ์, 2554: 276–278) นอกจากนี้ ครูผู้สอนควรกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิด ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือประสบการณ์การเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนอย่างเป็นอิสระ ซึ่งสอดคล้องกับอุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ (2552: 71) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์คือ กระบวนการทางปัญญาระดับสูงที่ใช้กระบวนการทางความคิดหลาย ๆ อย่างมารวมกัน เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่หรือแก้ปัญหาที่มีอยู่ให้ดีขึ้น และความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้สร้างสรรค์ต้องมีอิสรภาพทางความคิดซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความสุข สนุกในการเรียนรู้ และส่งผลให้ผู้เรียนสามารถคิดจินตนาการสร้างสรรค์ผลงานและเกิดผลทางบวกต่อผู้เรียนในแง่ของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางความคิดสร้างสรรค์ กล้าเสี่ยงที่จะคิดสร้างผลงานที่แปลกใหม่ ตลอดจนเห็นคุณค่าของผลงานนั้นด้วยความภาคภูมิใจ
การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking)
               การคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นความสามารถทางการคิดที่ช่วยให้บุคคลไตร่ตรอง พิจารณาประเมินข้อมูลและสิ่งต่าง ๆอย่างรอบด้าน รู้ที่มาที่ไป เข้าใจเหตุและผล ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดในการตัดสินใจได้ ในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ประเทศที่บุคคลสามารถพัฒนานวัตกรรมได้เอง จำเป็นที่เด็กหรือผู้เรียนควรได้รับการส่งเสริมให้มีความคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นผู้ที่ไม่หลงเชื่ออะไรง่าย ๆ ต้องรู้จักคิดอย่างรอบด้าน สามารถประมวลข้อมูลทั้งทางด้านข้อเท็จจริง และความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่คิดทั้งทางกว้าง ทางลึกและไกล ตลอดจนสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและพิจารณาข้อมูลอย่างสมเหตุสมผลได้ (ทิศนา แขมมณี,2556:114–115) และชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์(2557: 100) กล่าวว่าการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นการคิดที่มีความสำคัญยิ่งต่อการดำเนินชีวิต หากบุคคลได้รับการฝึกฝนจะทำให้สามารถคิดตัดสินใจในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรอบคอบ เป็นความคิดที่ช่วยในการจัดระบบข้อมูล เชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์ สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งยังเป็นเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ ที่มุ่งเน้นให้ค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ทำให้พิจารณาอย่างไตร่ตรองและเกิดองค์ความรู้ใหม่ ๆ ขึ้น
               สังคมปัจจุบันเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารมากมายที่มีทั้งเป็นข้อมูลจริงและเป็นเท็จ โดยเฉพาะในโลกonline ที่เต็มไปด้วยการทะลักทลายของข้อมูล (information overload) จำเป็นอย่างยิ่งที่บุคคลต้องใช้การคิดอย่างมีวิจารณญาณในการรับและแยกแยะข้อมูล ประกอบกับประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 แล้ว ซึ่งบุคคลหรือผู้เรียนจะต้องสามารถสร้างนวัตกรรมหรืองานวิจัยได้ ซึ่งในการกระทำกิจกรรมหรืองานดังกล่าว อาศัยความคิด
สร้างสรรค์เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ แต่ต้องอาศัยทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณด้วย ดังนั้น ในการจัดการ
เรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณให้แก่ผู้เรียน ครูผู้สอนควรให้ผู้เรียนฝึกการสังเกต ฝึกการอธิบายหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ โดยเน้นการใช้เหตุผล ฝึกการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นโดย
ไม่ใช้อารมณ์ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล ฝึกการเปรียบเทียบและการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ฝึกการวิพากษ์/วิจารณ์และจำแนกหาจุดเด่น-จุดด้อย คิดถึงข้อดีข้อเสีย รวมทั้งฝึกการสรุปความ (ทิศนา แขมมณี, 2556:
56) นอกจากนี้ ครูไม่ควรเน้นการท่องจำหรือให้ทำตามที่ครูบอก แต่ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกการคิดในหลาย ๆ มิติ โดยฝึกทั้งการพูดและการเขียนไปพร้อม ๆ กัน ครูควรใช้คำถามที่ท้าทายรวมทั้งจัดสื่อการสอนให้น่าสนใจเพื่อกระตุ้นผู้เรียนได้คิดหาคำตอบและแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องราวได้อย่างมีวิจารณญาณ ตลอดจนครูผู้สอนควรให้ผู้เรียนได้ฝึกคิดอย่างมีวิจารณญาณจากเนื้อหาที่มีความหลากหลาย เช่น จากข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ บทความ สารคดี และบทประพันธ์ต่าง ๆ เป็นต้น จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในยุค ไทยแลนด์ 4.0 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การแก้ปัญหา (Problem Solving)
               ในการก้าวเข้าสู่ยุค Thailand4.0 ทักษะการแก้ปัญหาเป็นทักษะที่มีความสำคัญยิ่ง ประเทศชาติจะไม่สามารถพัฒนาหรือสร้างนวัตกรรมของตนขึ้นมาได้ ถ้าทรัพยากรบุคคลไม่มีทักษะในการแก้ปัญหาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตัวผู้เรียนจำเป็นจะต้องได้รับการพัฒนาและฝึกฝนให้มีทักษะนี้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น การใช้บทบาทสมมติ โครงงาน การสืบสวนสอบสวน และการศึกษานอกสถานที่ เป็นต้น อย่างไรก็ตามไม่มีวิธีการจัดการเรียนรู้หรือวิธีการสอนใดที่ดีที่สุดที่จะสอนให้ผู้เรียนมีทักษะในการแก้ปัญหาได้ นอกเสียจากการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกการแก้ปัญหาด้วยตนเอง ครูผู้สอนควรให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ได้คิดอธิบาย อภิปราย และเปรียบเทียบแนวคิดที่หลากหลายจนเกิดเป็นกระบวนการแก้ปัญหาของตัวผู้เรียนเอง (ไมตรีอินทร์ประสิทธิ์, 2558) และจากผลการวิจัยพบว่าการจัดการเรียนรู้แบบเปิด (Open Approach) ที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้ส่วนบุคคลของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และความสามารถในการหาแนวทางการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันของผู้เรียน สามารถช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนากระบวนการคิด และการแก้ปัญหาได้อย่างเต็มศักยภาพ ดังนั้น ในการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาให้กับผู้เรียน ครูผู้สอนไม่ควรเน้นการเรียนรู้ที่มุ่งคำตอบที่ถูกต้อง โดยละเลยกระบวนการในการได้มาซึ่งคำตอบ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนขาดทักษะในการแก้ปัญหา และไม่สามารถนำความรู้ที่มีไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ ครูผู้สอนควรนำเสนอสถานการณ์ปัญหาที่แปลกใหม่ และไม่คุ้นเคย เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็นและพยายามค้นคว้าหาแนวทางในการแก้ปัญหาที่หลากหลายด้วยตนเองรวมทั้งครูควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็น และฝึกการซักถามในสิ่งที่ไม่เข้าใจด้วย(ประภัสสร เพชรสุ่มและคณะ,2560 : 86) ดังที่ ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์ (2555: 11-13) กล่าวว่าการให้ผู้เรียนได้เผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหาและการพยายามหาแนวทางในการแก้ปัญหาของตนเอง จะช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์โดยตรง และสามารถสร้างแนวทางพื้นฐานในการแก้ปัญหาของตัวผู้เรียนเองได้ นอกจากนี้ การจัดการเรียนรู้โดยการให้ผู้เรียนเผชิญกับการแก้ปัญหาจะช่วยพัฒนาผู้เรียนในด้านต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน เช่น การฝึกทักษะการสังเกต การค้นคว้าและเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูล การแปลผลและการสรุปความ การฝึกการท างานเป็นทีม การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ระหว่างผู้เรียน เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น