การคิดวิเคราะห์
ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้ (ผู้จัดทำ นางสาวมัสญา อนุญาหงส์)
การคิดวิเคราะห์(Analytical
Thinking)
นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมช.
กระทรวงศึกษาธิการ(สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, 2559:
10-13) กล่าวว่าการศึกษาในยุค Thailand4.0 ควรมีการสร้างคนให้มีทักษะในศตวรรษที่
21
โดยเน้นทักษะในการคิดวิเคราะห์เป็นหลัก
เพราะบุคคลที่รู้จักคิดวิเคราะห์จะเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน
การคิดวิเคราะห์เป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้และการดำเนินชีวิตและเป็นพื้นฐานของการคิดทั้งมวล
บุคคลที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์จะมีความสามารถในด้านต่าง ๆ
เหนือกว่าบุคคลทั่วไป ดังนั้น ในการจัดการ
เรียนรู้เพื่อเอื้อต่อการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ให้กับผู้เรียน
ครูผู้สอนต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการคิด
วิเคราะห์ให้ดีเสียก่อน
หลังจากนั้นจึงค่อย ๆ สอดแทรกหรือบูรณาการการคิดวิเคราะห์เข้าไปในกระบวนการ
จัดการเรียนรู้
(ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ. 2556: 69) และดิลก ดิลกานนท์ (2525 อ้างถึงในประพันธ์ศิริ
สุเสารัจ,
2556: 82-83)
ได้เสนอแนวทางการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ให้แก่ผู้เรียนไว้ดังนี้ (1) ครูผู้สอนกำหนดสิ่งต่าง
ๆ เช่น
เรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง
ๆแล้วให้ผู้เรียนฝึกการวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ ของสิ่งเหล่านี้ตามที่ครูกำหนด (2)
ครู
กำหนดจุดมุ่งหมายของการวิเคราะห์ให้ชัดเจนว่าต้องการให้ผู้เรียนวิเคราะห์เพื่ออะไร
(3) ฝึกให้ผู้เรียนรู้จักการ
พิจารณาข้อมูลความรู้ ทฤษฎี
หลักการ และกฎเกณฑ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ว่าจะใช้หลักใดเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์
และ (4) ให้ผู้เรียนได้ฝึกการสรุปและรายงานผลการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและชัดเจน
นอกจากนี้ ครูผู้สอนควรตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียน
การตั้งคำถามที่ดีจะเป็นประโยชน์และช่วยพัฒนาการคิดได้เป็นอย่างดี
และครูผู้สอนควรจัดบรรยากาศภายในห้องเรียนที่มีการเปิดรับการเรียนรู้มากขึ้น
โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถคิด ตัดสินใจ และเลือกสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง
และเมื่อผู้เรียนทำผิดครูก็ไม่ควรลงโทษเด็ก เพราะการเรียนรู้แบบลองถูกลองผิด
ก็นับเป็นการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่ช่วยฝึกให้ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์ได้
เพราะการเรียนรู้จากความผิดพลาด
จะทำให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์หรือแยกแยะประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้
และจะประเมินว่าจะทำเช่นนี้อีกหรือไม่ในคราวต่อ ๆ ไป
ความคิดสร้างสรรค์(Creative
Thinking)
นักวิชาการอธิบายว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถทางสมองระดับสูงที่คิดได้กว้างไกลหลายทิศทาง
หลายแง่มุม หรือที่เรียกว่าลักษณะการคิดแบบอเนกนัย (divergent
thinking) ประกอบด้วยความคิดย่อย ๆ 4 องค์ประกอบ ได้แก่
ความคิดริเริ่ม ความคิดคล่องแคล่ว ความคิดยืดหยุ่น และความคิดละเอียดลออ
ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถในการคิดสิ่งที่แปลกใหม่
ไม่เหมือนความคิดของคนทั่วไปรวมทั้งสามารถคิดดัดแปลงความคิดเดิมให้เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่มีคุณประโยชน์และได้รับการยอมรับจากสังคม(Socially
valued idea) กล่าวคือ เด็กต้องสามารถคิดต่อยอดผลงานที่มีอยู่เดิมให้แปลกใหม่กว่าเดิม
สามารถประยุกต์และใช้ประโยชน์ของสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์มีประโยชน์และจำเป็นสำหรับบุคคลในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะในบริบทของการศึกษายุค Thailand 4.0 ที่ต้องการให้ผู้เรียนสามารถสร้างสรรค์ผลงานของตนเองได้อย่างไรก็ตาม
การจัดการเรียนรู้ในปัจจุบันต่างมุ่งเน้นแต่เนื้อหาวิชา การสอนไม่มีความสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันหรือชีวิตจริง
ซึ่งทำให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่ายในการเรียน รู้สึกอึดอัด และทำให้ความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนมีแนวโน้มลดลง
ทำให้สมองไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร และส่งผลให้อัจฉริยภาพที่มีอยู่ในตัวผู้เรียนตามธรรมชาติจะถูกทำลายลงด้วย
ดังผลการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษา โดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
รายงานว่าผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์อยู่ในระดับปรับปรุง (กิติยา เก้าเอี้ยน,
2558: 14)
ดังนั้น
ในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ให้กับผู้เรียน
ครูผู้สอนควรจัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกคิดจินตนาการ
ได้ลงมือสร้างสรรค์ผลงานตามที่คิดไว้ เพราะถ้าได้แต่คิด แต่ไม่เคยได้ลงมือกระทำความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างนวัตกรรมต่าง
ๆ ก็คงจะไม่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน กิจกรรมที่เอื้อต่อการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์
เช่น กิจกรรมด้านศิลปะ การประพันธ์ การประดิษฐ์หรือการออกแบบผลงานที่สามารถคิดหาคำตอบได้หลายทางเลือก
เป็นต้น ส่วนวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์
เช่นการสอนแบบระดมพลังสมอง การสอนคิดแบบหมวก 6 ใบ และการสอนตามแนวคิดของวิลเลียมส์
เป็นต้น
นอกจากนี้ บรรยากาศในการเรียนรู้ของห้องเรียนก็มีส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์เช่นกันโดยครูผู้สอนควรจัดบรรยากาศให้มีความผ่อนคลาย
ให้อิสระทางความคิด สนับสนุนความคิดที่แปลกใหม่ มีความเป็นกลาง ไม่อคติหรือชื่นชมเฉพาะผลงานที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น
บางครั้งผู้เรียนบางคนอาจยังไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้น
ครูผู้สอนควรให้กำลังใจและชี้แนะข้อบกพร่องให้ผู้เรียนทราบ เพื่อจะได้เป็นการจูงใจให้ผู้เรียนมีความพยายามและมุ่งมั่นที่จะทำงานนั้นต่อไป
อย่างไรก็ตาม
ความคิดสร้างสรรค์ควรได้รับการกระตุ้นด้วยกิจกรรมที่หลากหลายอย่างต่อเนื่อง
และกิจกรรมเหล่านี้จะต้องมีความเหมาะสมตามความสามารถและวัยของผู้เรียน (ลักขณา
สริวัฒน์,
2558: 161; ธูปทอง กว้างสวาสดิ์, 2554: 276–278) นอกจากนี้ ครูผู้สอนควรกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิด
ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือประสบการณ์การเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนอย่างเป็นอิสระ
ซึ่งสอดคล้องกับอุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ (2552: 71) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์คือ กระบวนการทางปัญญาระดับสูงที่ใช้กระบวนการทางความคิดหลาย
ๆ อย่างมารวมกัน เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่หรือแก้ปัญหาที่มีอยู่ให้ดีขึ้น
และความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้สร้างสรรค์ต้องมีอิสรภาพทางความคิดซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความสุข
สนุกในการเรียนรู้ และส่งผลให้ผู้เรียนสามารถคิดจินตนาการสร้างสรรค์ผลงานและเกิดผลทางบวกต่อผู้เรียนในแง่ของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางความคิดสร้างสรรค์
กล้าเสี่ยงที่จะคิดสร้างผลงานที่แปลกใหม่
ตลอดจนเห็นคุณค่าของผลงานนั้นด้วยความภาคภูมิใจ
การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical
Thinking)
การคิดอย่างมีวิจารณญาณ
เป็นความสามารถทางการคิดที่ช่วยให้บุคคลไตร่ตรอง พิจารณาประเมินข้อมูลและสิ่งต่าง
ๆอย่างรอบด้าน รู้ที่มาที่ไป เข้าใจเหตุและผล
ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดในการตัดสินใจได้
ในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ประเทศที่บุคคลสามารถพัฒนานวัตกรรมได้เอง จำเป็นที่เด็กหรือผู้เรียนควรได้รับการส่งเสริมให้มีความคิดอย่างมีวิจารณญาณ
เป็นผู้ที่ไม่หลงเชื่ออะไรง่าย ๆ ต้องรู้จักคิดอย่างรอบด้าน
สามารถประมวลข้อมูลทั้งทางด้านข้อเท็จจริง
และความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่คิดทั้งทางกว้าง ทางลึกและไกล
ตลอดจนสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและพิจารณาข้อมูลอย่างสมเหตุสมผลได้ (ทิศนา แขมมณี,2556:114–115) และชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์(2557: 100) กล่าวว่าการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นการคิดที่มีความสำคัญยิ่งต่อการดำเนินชีวิต
หากบุคคลได้รับการฝึกฝนจะทำให้สามารถคิดตัดสินใจในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรอบคอบ
เป็นความคิดที่ช่วยในการจัดระบบข้อมูล เชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์
สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งยังเป็นเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้
ที่มุ่งเน้นให้ค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ทำให้พิจารณาอย่างไตร่ตรองและเกิดองค์ความรู้ใหม่
ๆ ขึ้น
สังคมปัจจุบันเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารมากมายที่มีทั้งเป็นข้อมูลจริงและเป็นเท็จ
โดยเฉพาะในโลกonline ที่เต็มไปด้วยการทะลักทลายของข้อมูล
(information overload) จำเป็นอย่างยิ่งที่บุคคลต้องใช้การคิดอย่างมีวิจารณญาณในการรับและแยกแยะข้อมูล
ประกอบกับประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 แล้ว
ซึ่งบุคคลหรือผู้เรียนจะต้องสามารถสร้างนวัตกรรมหรืองานวิจัยได้ ซึ่งในการกระทำกิจกรรมหรืองานดังกล่าว
อาศัยความคิด
สร้างสรรค์เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ
แต่ต้องอาศัยทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณด้วย ดังนั้น ในการจัดการ
เรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณให้แก่ผู้เรียน
ครูผู้สอนควรให้ผู้เรียนฝึกการสังเกต
ฝึกการอธิบายหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ โดยเน้นการใช้เหตุผล
ฝึกการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นโดย
ไม่ใช้อารมณ์
แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล ฝึกการเปรียบเทียบและการเชื่อมโยงความสัมพันธ์
ฝึกการวิพากษ์/วิจารณ์และจำแนกหาจุดเด่น-จุดด้อย คิดถึงข้อดีข้อเสีย
รวมทั้งฝึกการสรุปความ (ทิศนา แขมมณี, 2556:
56) นอกจากนี้
ครูไม่ควรเน้นการท่องจำหรือให้ทำตามที่ครูบอก
แต่ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกการคิดในหลาย ๆ มิติ
โดยฝึกทั้งการพูดและการเขียนไปพร้อม ๆ กัน ครูควรใช้คำถามที่ท้าทายรวมทั้งจัดสื่อการสอนให้น่าสนใจเพื่อกระตุ้นผู้เรียนได้คิดหาคำตอบและแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องราวได้อย่างมีวิจารณญาณ
ตลอดจนครูผู้สอนควรให้ผู้เรียนได้ฝึกคิดอย่างมีวิจารณญาณจากเนื้อหาที่มีความหลากหลาย
เช่น จากข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ บทความ สารคดี และบทประพันธ์ต่าง ๆ เป็นต้น
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในยุค
ไทยแลนด์ 4.0 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การแก้ปัญหา (Problem
Solving)
ในการก้าวเข้าสู่ยุค Thailand4.0 ทักษะการแก้ปัญหาเป็นทักษะที่มีความสำคัญยิ่ง
ประเทศชาติจะไม่สามารถพัฒนาหรือสร้างนวัตกรรมของตนขึ้นมาได้
ถ้าทรัพยากรบุคคลไม่มีทักษะในการแก้ปัญหาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตัวผู้เรียนจำเป็นจะต้องได้รับการพัฒนาและฝึกฝนให้มีทักษะนี้ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย
เช่น การใช้บทบาทสมมติ โครงงาน การสืบสวนสอบสวน และการศึกษานอกสถานที่ เป็นต้น อย่างไรก็ตามไม่มีวิธีการจัดการเรียนรู้หรือวิธีการสอนใดที่ดีที่สุดที่จะสอนให้ผู้เรียนมีทักษะในการแก้ปัญหาได้
นอกเสียจากการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกการแก้ปัญหาด้วยตนเอง
ครูผู้สอนควรให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ได้คิดอธิบาย อภิปราย และเปรียบเทียบแนวคิดที่หลากหลายจนเกิดเป็นกระบวนการแก้ปัญหาของตัวผู้เรียนเอง
(ไมตรีอินทร์ประสิทธิ์, 2558) และจากผลการวิจัยพบว่าการจัดการเรียนรู้แบบเปิด
(Open Approach) ที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้ส่วนบุคคลของผู้เรียน
โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
และความสามารถในการหาแนวทางการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันของผู้เรียน
สามารถช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนากระบวนการคิด และการแก้ปัญหาได้อย่างเต็มศักยภาพ
ดังนั้น ในการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาให้กับผู้เรียน ครูผู้สอนไม่ควรเน้นการเรียนรู้ที่มุ่งคำตอบที่ถูกต้อง
โดยละเลยกระบวนการในการได้มาซึ่งคำตอบ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนขาดทักษะในการแก้ปัญหา
และไม่สามารถนำความรู้ที่มีไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ได้ นอกจากนี้
ครูผู้สอนควรนำเสนอสถานการณ์ปัญหาที่แปลกใหม่ และไม่คุ้นเคย
เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็นและพยายามค้นคว้าหาแนวทางในการแก้ปัญหาที่หลากหลายด้วยตนเองรวมทั้งครูควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็น
และฝึกการซักถามในสิ่งที่ไม่เข้าใจด้วย(ประภัสสร เพชรสุ่มและคณะ,2560 : 86) ดังที่ ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์ (2555: 11-13)
กล่าวว่าการให้ผู้เรียนได้เผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหาและการพยายามหาแนวทางในการแก้ปัญหาของตนเอง
จะช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์โดยตรง และสามารถสร้างแนวทางพื้นฐานในการแก้ปัญหาของตัวผู้เรียนเองได้
นอกจากนี้
การจัดการเรียนรู้โดยการให้ผู้เรียนเผชิญกับการแก้ปัญหาจะช่วยพัฒนาผู้เรียนในด้านต่าง
ๆ ด้วยเช่นกัน เช่น การฝึกทักษะการสังเกต การค้นคว้าและเก็บรวบรวมข้อมูล
การวิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูล การแปลผลและการสรุปความ การฝึกการท างานเป็นทีม
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ระหว่างผู้เรียน เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น